ยินดีต้อนรับสู่การเรียนรู้ ICT
👍🖥️จุดประสงค์ของบทเรียน
1.อธิบายหลักการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา และเชิงทำนาย
2.เลือกใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลได้ตรงตามวัตถุประสงค์
3.วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป หรือโปรแกรมภาษา
4.อธิบายผลของการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ
😆 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Analytics)
คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ “อธิบาย” สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน ใช้เพื่อสรุปแนวโน้ม รูปแบบ หรือพฤติกรรมของข้อมูล
ตัวอย่าง
1. สรุปจำนวนนักเรียนเข้าเรียนตรงเวลาในแต่ละวัน
2. การสร้างกราฟยอดขายรายวันของร้านค้า
3. การคำนวณค่าเฉลี่ย คะแนนสูงสุด ต่ำสุด
😬การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงทำนาย (Predictive Analytics)
คือ การวิเคราะห์เพื่อ “คาดการณ์” สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ใช้ข้อมูลในอดีตมาสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์
ตัวอย่าง
1. คาดการณ์คะแนนสอบปลายภาคของนักเรียนจากคะแนนเก็บ
2. คาดการณ์นักเรียนที่อาจมีความเสี่ยงขาดเรียน
3. พยากรณ์อากาศจากข้อมูลในอดีต
********************************************************
ภาพรวม: กิจกรรมนี้ออกแบบมาเพื่อให้นักเรียน ม.5 ได้เรียนรู้และเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์เชิงพรรณนา (Descriptive Analytics) และการวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) ผ่านการลงมือปฏิบัติกับข้อมูลจริงและสถานการณ์จำลอง
ระยะเวลา: 4-6 ชั่วโมง (สามารถปรับให้เหมาะสมกับตารางเรียน)
อุปกรณ์/สื่อการเรียนรู้:
คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ตพร้อมอินเทอร์เน็ต
โปรแกรมตารางคำนวณ (เช่น Microsoft Excel, Google Sheets)
ชุดข้อมูลตัวอย่าง (จะเสนอในรายละเอียดของกิจกรรม)
กระดานไวท์บอร์ด/โปรเจคเตอร์
วัตถุประสงค์:
นักเรียนสามารถอธิบายความหมายและประโยชน์ของการวิเคราะห์เชิงพรรณนาได้
นักเรียนสามารถใช้เครื่องมือพื้นฐานในการสรุปและนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาได้
นักเรียนสามารถตีความและอธิบายข้อมูลที่วิเคราะห์เชิงพรรณนาได้
กิจกรรม:
แนะนำแนวคิด (30 นาที):
การอภิปรายเริ่มต้น: ถามนักเรียนว่า "นักเรียนคิดว่าการวิเคราะห์ข้อมูลคืออะไร และเราวิเคราะห์ข้อมูลไปทำไม?" รวบรวมคำตอบและเชื่อมโยงกับแนวคิดพื้นฐาน
ความหมายและตัวอย่าง: อธิบายความหมายของการวิเคราะห์เชิงพรรณนาอย่างง่าย ๆ คือ "การเล่าเรื่องจากข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้ว" ยกตัวอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น สถิติผลการเรียนของห้อง, จำนวนนักเรียนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์, รายได้เฉลี่ยของครอบครัวในหนึ่งเดือน
ประโยชน์: เน้นย้ำประโยชน์ของการวิเคราะห์เชิงพรรณนา เช่น ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน, ระบุปัญหา, หรือหาแนวโน้มเบื้องต้น
สำรวจข้อมูลด้วยตนเอง (60-90 นาที):
ข้อมูลตัวอย่าง: เตรียมชุดข้อมูลขนาดเล็กที่เข้าใจง่ายและเกี่ยวข้องกับนักเรียน เช่น
ข้อมูลผลการสอบวิชาต่างๆ ของนักเรียนในห้อง: (ชื่อ, วิชา A (คะแนน), วิชา B (คะแนน), วิชา C (คะแนน), เพศ)
ข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายประจำวันของนักเรียน: (รายการ, ราคา, วันที่, ประเภทการใช้จ่าย)
ขั้นตอนการปฏิบัติ:
เปิดโปรแกรมตารางคำนวณ: ให้นักเรียนเปิด Excel หรือ Google Sheets และนำเข้าข้อมูล
คำนวณค่าพื้นฐาน: แนะนำให้นักเรียนใช้สูตรพื้นฐานเพื่อหาค่าต่างๆ เช่น
ค่าเฉลี่ย (AVERAGE): คะแนนเฉลี่ยของแต่ละวิชา
ค่ามัธยฐาน (MEDIAN): คะแนนกลางของแต่ละวิชา
ฐานนิยม (MODE): คะแนนที่นักเรียนส่วนใหญ่ทำได้
ค่าสูงสุด (MAX) และ ต่ำสุด (MIN): คะแนนสูงสุดและต่ำสุด
นับจำนวน (COUNTIF): จำนวนนักเรียนชาย/หญิง, จำนวนคนที่ชอบวิชา...
สร้างแผนภูมิ: แนะนำการสร้างแผนภูมิประเภทต่างๆ เพื่อแสดงข้อมูล
แผนภูมิแท่ง (Bar Chart): เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยแต่ละวิชา, จำนวนนักเรียนชาย/หญิง
แผนภูมิวงกลม (Pie Chart): สัดส่วนประเภทการใช้จ่าย
ฮิสโตแกรม (Histogram): การกระจายตัวของคะแนน
ตีความข้อมูล: ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (แบ่งกลุ่ม 3-4 คน) วิเคราะห์และตีความสิ่งที่ค้นพบจากข้อมูลและแผนภูมิที่สร้างขึ้น
นำเสนอและอภิปราย (30-45 นาที):
การนำเสนอ: แต่ละกลุ่มนำเสนอสิ่งที่ค้นพบจากการวิเคราะห์เชิงพรรณนา อธิบายว่าข้อมูลบอกอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นๆ
การอภิปรายร่วมกัน: ครูตั้งคำถามกระตุ้นให้นักเรียนคิด เช่น "ข้อมูลเหล่านี้บอกอะไรเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียน/พฤติกรรมการใช้จ่ายของนักเรียน?" "เราสามารถนำข้อมูลนี้ไปปรับปรุงอะไรได้บ้าง?"
วัตถุประสงค์:
นักเรียนสามารถอธิบายความหมายและประโยชน์ของการวิเคราะห์เชิงทำนายได้
นักเรียนเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของการสร้างแบบจำลองอย่างง่ายเพื่อทำนาย
นักเรียนสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ (ในระดับเบื้องต้น)
กิจกรรม:
แนะนำแนวคิด (30 นาที):
การอภิปรายเริ่มต้น: ถามนักเรียนว่า "ถ้าเราอยากรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราจะใช้วิธีไหนได้บ้าง?" เชื่อมโยงไปสู่การวิเคราะห์เชิงทำนาย
ความหมายและตัวอย่าง: อธิบายความหมายของการวิเคราะห์เชิงทำนายคือ "การใช้ข้อมูลในอดีตมาคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต" ยกตัวอย่างที่เข้าใจง่าย เช่น การพยากรณ์อากาศ, การคาดการณ์แนวโน้มราคาหุ้น, การทำนายว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าอะไรต่อไป
ประโยชน์: เน้นย้ำประโยชน์ เช่น ช่วยในการวางแผน, ลดความเสี่ยง, เพิ่มประสิทธิภาพ
การทำนายอย่างง่ายด้วยแนวโน้ม (60-90 นาที):
ข้อมูลตัวอย่าง: เตรียมชุดข้อมูลที่มีแนวโน้มชัดเจน เช่น
ข้อมูลจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์โรงเรียนรายเดือนย้อนหลัง 12 เดือน: (เดือน, จำนวนผู้เข้าชม)
ข้อมูลยอดขายสินค้าในร้านค้าสหกรณ์โรงเรียนรายสัปดาห์ย้อนหลัง 10 สัปดาห์: (สัปดาห์, ยอดขาย)
ขั้นตอนการปฏิบัติ:
สร้างแผนภูมิเส้น (Line Chart): ให้นักเรียนสร้างแผนภูมิเส้นเพื่อดูแนวโน้มของข้อมูล
การทำนายแนวโน้มด้วยสายตา (หรือใช้ Trendline ใน Excel/Google Sheets):
ให้นักเรียนลองลากเส้นแนวโน้มด้วยมือเปล่าบนแผนภูมิที่พิมพ์ออกมา หรือใช้ฟังก์ชัน "เพิ่มเส้นแนวโน้ม" (Add Trendline) ในโปรแกรมตารางคำนวณ
อธิบายว่าเส้นแนวโน้มช่วยให้เราเห็นทิศทางของข้อมูลและสามารถใช้ในการคาดการณ์จุดต่อไปได้
การทำนายโดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) (เสริม/ถ้ามีเวลา):
แนะนำแนวคิดของการหาค่าเฉลี่ยย้อนหลังเพื่อทำให้แนวโน้มดูราบรื่นขึ้น (เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือน) และใช้ค่านี้ในการคาดการณ์เดือนถัดไป
ให้นักเรียนลองคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในตารางคำนวณ
การจำลองสถานการณ์และการคาดการณ์ (45-60 นาที):
สถานการณ์จำลอง: ยกสถานการณ์ที่นักเรียนต้องใช้การทำนาย เช่น
"ถ้าจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์โรงเรียนยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบนี้ เดือนหน้าจะมีผู้เข้าชมประมาณเท่าไหร่?"
"ถ้ายอดขายสินค้าในร้านสหกรณ์มีแนวโน้มลดลง เราควรวางแผนรับมืออย่างไร?"
การนำเสนอข้อเสนอแนะ: ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอการคาดการณ์ของตนเอง พร้อมทั้งอธิบายว่า "เราจะใช้การคาดการณ์นี้ไปตัดสินใจอะไรได้บ้าง?" เช่น คาดการณ์ผู้เข้าชมเพื่อวางแผนการปรับปรุงเว็บไซต์, คาดการณ์ยอดขายเพื่อวางแผนการสั่งซื้อสินค้า
ทบทวนบทเรียน: ครูสรุปความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างการวิเคราะห์เชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เชิงทำนาย เน้นย้ำว่าทั้งสองอย่างเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจข้อมูลและนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีขึ้น
คำถามและคำตอบ: เปิดโอกาสให้นักเรียนถามคำถาม
การสะท้อนผล: ให้นักเรียนเขียนสรุปสั้นๆ ว่าได้เรียนรู้อะไรจากการทำกิจกรรมนี้บ้าง และคิดว่าจะนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
การประเมิน: ประเมินจากการมีส่วนร่วมในกลุ่ม, ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือ, การนำเสนอผลงาน, และการตอบคำถามในชั้นเรียน
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:
ใช้ข้อมูลจริงในท้องถิ่น: หากเป็นไปได้ ลองใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนหรือชุมชนของนักเรียน เช่น จำนวนขยะในโรงเรียน, สถิติกิจกรรมชมรมต่างๆ จะช่วยให้นักเรียนเห็นภาพและเชื่อมโยงได้ง่ายขึ้น
เชิญวิทยากรภายนอก (ถ้าทำได้): อาจเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล (Data Analyst) จากบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ มาพูดคุยกับนักเรียนถึงบทบาทและความสำคัญของการวิเคราะห์ข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริง
โปรเจกต์กลุ่มขนาดเล็ก: หลังจากจบบทเรียนนี้ อาจให้นักเรียนทำโปรเจกต์กลุ่มเล็กๆ โดยให้เลือกหัวข้อที่สนใจ หาข้อมูลเอง และนำหลักการวิเคราะห์เชิงพรรณนาและเชิงทำนายไปประยุกต์ใช้
ภาพรวม: กิจกรรมนี้นักเรียนจะได้เรียนรู้ขั้นตอนการออกแบบแบบฟอร์มสำรวจข้อมูล, การตั้งคำถามที่มีประสิทธิภาพ, การเลือกเครื่องมือในการสร้างแบบฟอร์ม, และการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
วัตถุประสงค์:
นักเรียนสามารถระบุวัตถุประสงค์ของการสำรวจข้อมูลได้
นักเรียนสามารถออกแบบและสร้างแบบฟอร์มสำรวจข้อมูลที่มีคุณภาพได้
นักเรียนสามารถเลือกใช้เครื่องมือออนไลน์ในการสร้างแบบฟอร์มได้
นักเรียนเข้าใจหลักการพื้นฐานของการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างมีจริยธรรม
ระยะเวลา: 2-3 ชั่วโมง (ไม่รวมเวลาในการเก็บข้อมูลจริง)
อุปกรณ์/สื่อการเรียนรู้:
คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ตพร้อมอินเทอร์เน็ต
โปรแกรมสร้างแบบฟอร์มออนไลน์ (เช่น Google Forms, Microsoft Forms, SurveyMonkey (เวอร์ชันฟรี))
กระดาษและปากกา (สำหรับร่างแบบฟอร์ม)
ขั้นที่ 1: ทำความเข้าใจการสำรวจข้อมูล (30 นาที)
การอภิปรายนำ:
ถามนักเรียน: "นักเรียนเคยตอบแบบสำรวจอะไรบ้างในชีวิตประจำวัน? แบบสำรวจเหล่านั้นมีประโยชน์อย่างไร?"
อธิบายความสำคัญของการสำรวจข้อมูล: เป็นวิธีการเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น การทำความเข้าใจความคิดเห็น, พฤติกรรม, ความต้องการ, หรือข้อมูลประชากร
เน้นย้ำถึงการใช้ข้อมูลอย่างมีจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว (เช่น ไม่ถามข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็น, แจ้งวัตถุประสงค์การเก็บข้อมูล)
ประเภทของคำถาม:
แนะนำประเภทของคำถามที่ใช้ในแบบฟอร์มสำรวจ:
คำถามปลายปิด (Closed-ended questions): คำถามที่มีตัวเลือกให้เลือกตอบ เช่น ใช่/ไม่ใช่, เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย, เลือกข้อที่ถูกต้อง (ปรนัย), ให้คะแนน 1-5
ข้อดี: วิเคราะห์ง่าย, ได้ข้อมูลเชิงปริมาณ
ข้อเสีย: อาจจำกัดความคิดเห็น
คำถามปลายเปิด (Open-ended questions): คำถามที่ให้ผู้ตอบเขียนตอบอย่างอิสระ
ข้อดี: ได้ข้อมูลเชิงลึก, ความคิดเห็นที่หลากหลาย
ข้อเสีย: วิเคราะห์ยาก, ใช้เวลานาน
ยกตัวอย่างคำถามแต่ละประเภทและอธิบายว่าควรใช้เมื่อไหร่
ขั้นที่ 2: ระดมสมองและเลือกหัวข้อ (45 นาที)
แบ่งกลุ่ม: แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มละ 3-4 คน
ระดมสมองหัวข้อ: ให้แต่ละกลุ่มระดมสมองเพื่อเสนอหัวข้อการสำรวจข้อมูลที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ โดยเน้นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของนักเรียนหรือประเด็นที่นักเรียนสนใจ
เกณฑ์การเลือกหัวข้อ: ครูแนะนำเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อ:
ความน่าสนใจ: หัวข้อที่นักเรียนและเพื่อนๆ สนใจอยากรู้คำตอบ
ความเป็นไปได้: สามารถเก็บข้อมูลได้จริงจากกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงได้ (เช่น เพื่อนนักเรียน, ครู, คนในครอบครัว)
ประโยชน์: ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือนำเสนอข้อเสนอแนะได้
ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว: ไม่ถามข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือเป็นส่วนตัวเกินไป
เลือกหัวข้อ: แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อที่ดีที่สุด 1 หัวข้อ (อาจให้แต่ละกลุ่มนำเสนอหัวข้อสั้นๆ ก่อนเลือก)
นี่คือหัวข้อที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ที่นักเรียนสามารถนำไปสำรวจได้:
"พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักเรียน ม.ปลาย และผลกระทบต่อการเรียน"
คำถามที่น่าสนใจ: ใช้แพลตฟอร์มใดบ้าง, ใช้เวลาเท่าไหร่ต่อวัน, เนื้อหาที่ติดตาม, เคยรู้สึกกดดัน/เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นหรือไม่, มีผลต่อสมาธิในการเรียนอย่างไร
"ความสนใจในอาชีพแห่งอนาคตของนักเรียน ม.ปลาย: อะไรคือแรงบันดาลใจและอุปสรรค?"
คำถามที่น่าสนใจ: สนใจอาชีพอะไร, แรงบันดาลใจคืออะไร, คิดว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร, อุปสรรคที่คาดว่าจะเจอ, บทบาทของโรงเรียนในการสนับสนุน
"แนวคิดและทัศนคติของนักเรียน ม.ปลาย ต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน"
คำถามที่น่าสนใจ: ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมแค่ไหน, กิจกรรมที่ทำเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม, ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการจัดการขยะ/พลังงานในโรงเรียน
"พฤติกรรมการบริโภคอาหารกลางวันของนักเรียนในโรงเรียน: สุขภาพและเศรษฐกิจ"
คำถามที่น่าสนใจ: งบประมาณอาหารกลางวันต่อวัน, ประเภทอาหารที่เลือก, ความพึงพอใจในคุณภาพ/ราคาอาหารโรงเรียน, ข้อเสนอแนะเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
"ความเครียดในการเรียนและการจัดการของนักเรียน ม.ปลาย: แหล่งที่มาและวิธีการรับมือ"
คำถามที่น่าสนใจ: ระดับความเครียด, สาเหตุหลักของความเครียด, วิธีการจัดการความเครียด, สิ่งที่โรงเรียน/ผู้ปกครองสามารถช่วยได้
ขั้นที่ 3: ร่างแบบฟอร์มและสร้างด้วยเครื่องมือออนไลน์ (60-90 นาที)
ร่างแบบฟอร์ม (บนกระดาษ):
แต่ละกลุ่มเริ่มร่างคำถามสำหรับหัวข้อที่เลือก โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการสำรวจ
จัดเรียงคำถามให้เป็นระบบ (เช่น ข้อมูลทั่วไปก่อน, ตามด้วยคำถามหลัก)
กำหนดประเภทของคำถาม (ปลายปิด/ปลายเปิด) และตัวเลือกคำตอบให้ชัดเจน
เพิ่มส่วน "คำชี้แจง" และ "วัตถุประสงค์" ของการสำรวจที่ต้นแบบฟอร์ม
เพิ่มส่วน "ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม" (คำถามปลายเปิด) ที่ท้ายแบบฟอร์ม
สร้างแบบฟอร์มออนไลน์:
ครูสาธิตการใช้ Google Forms (หรือเครื่องมืออื่นที่เลือก) เบื้องต้น
ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือสร้างแบบฟอร์มของตนเองในเครื่องมือออนไลน์
เน้นการใช้ฟังก์ชันต่างๆ เช่น การเลือกประเภทคำถาม, การตั้งค่าให้เป็นคำถามบังคับตอบ, การเพิ่มส่วน (Section), การปรับแต่งธีม
ตรวจสอบความถูกต้องของคำถามและตัวเลือกคำตอบ
ขั้นที่ 4: ทดสอบและปรับปรุง (30 นาที)
ทดสอบแบบฟอร์ม: ให้แต่ละกลุ่มสลับกันทดลองตอบแบบฟอร์มของกลุ่มอื่น
ให้ข้อเสนอแนะ: หลังจากทดลองตอบ ให้แต่ละกลุ่มให้ข้อเสนอแนะแก่กลุ่มที่สร้างแบบฟอร์ม เช่น
คำถามเข้าใจง่ายหรือไม่?
ตัวเลือกคำตอบครอบคลุมหรือไม่?
มีคำถามที่ซ้ำซ้อนหรือกำกวมหรือไม่?
การจัดวางสวยงามและใช้งานง่ายหรือไม่?
ปรับปรุงแบบฟอร์ม: แต่ละกลุ่มนำข้อเสนอแนะไปปรับปรุงแบบฟอร์มของตนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ขั้นที่ 5: เก็บข้อมูลและนำเสนอ (นอกเวลาเรียน + 60 นาทีในชั้นเรียน)
เก็บข้อมูล:
แต่ละกลุ่มส่งลิงก์แบบฟอร์มให้เพื่อนร่วมห้อง, ครู, หรือคนในครอบครัวช่วยตอบ (ตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด)
กำหนดจำนวนผู้ตอบขั้นต่ำ (เช่น อย่างน้อย 20-30 คน)
เน้นย้ำเรื่องจริยธรรมอีกครั้ง: แจ้งวัตถุประสงค์, ไม่บังคับตอบ, รับประกันความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น:
เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน ให้นักเรียนดูผลลัพธ์ที่ได้จากเครื่องมือออนไลน์ (Google Forms จะสรุปผลเป็นกราฟให้โดยอัตโนมัติ)
ให้นักเรียนลองตีความข้อมูลเบื้องต้นจากกราฟที่ได้
นำเสนอผล:
แต่ละกลุ่มนำเสนอหัวข้อ, วัตถุประสงค์, แบบฟอร์มที่สร้าง, และสรุปผลการสำรวจเบื้องต้นที่ได้
อภิปรายถึงสิ่งที่ค้นพบ, ข้อจำกัดของการสำรวจ, และข้อเสนอแนะที่ได้จากข้อมูล
การมีส่วนร่วมในกลุ่ม: การร่วมระดมสมอง, การออกแบบ, การสร้างแบบฟอร์ม
คุณภาพของแบบฟอร์ม: ความชัดเจนของคำถาม, ความเหมาะสมของตัวเลือก, การจัดวาง
ความเข้าใจในกระบวนการ: การอธิบายวัตถุประสงค์, การเลือกคำถาม, การใช้เครื่องมือ
การนำเสนอผล: ความสามารถในการสรุปและตีความข้อมูลเบื้องต้น
วัตถุประสงค์:
นักเรียนสามารถรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลที่ได้จากการสำรวจได้
นักเรียนสามารถใช้โปรแกรมตารางคำนวณเพื่อสรุปข้อมูลเชิงพรรณนา (ค่าเฉลี่ย, ร้อยละ, จำนวน) ได้
นักเรียนสามารถเลือกประเภทแผนภูมิที่เหมาะสมและสร้างภาพข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักเรียนสามารถตีความข้อมูลและนำเสนอผลการสำรวจอย่างชัดเจนและน่าสนใจ
ระยะเวลา: 3-4 ชั่วโมง
อุปกรณ์/สื่อการเรียนรู้:
คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ตพร้อมอินเทอร์เน็ต
โปรแกรมตารางคำนวณ (เช่น Microsoft Excel, Google Sheets)
โปรแกรมนำเสนอ (เช่น Microsoft PowerPoint, Google Slides, Canva)
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจในกิจกรรมที่แล้ว
ขั้นที่ 1: เตรียมข้อมูลและทำความสะอาดข้อมูล (60 นาที)
ดาวน์โหลดข้อมูล:
ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มดาวน์โหลดข้อมูลที่ได้จากการสำรวจจากเครื่องมือออนไลน์ (เช่น Google Forms สามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ Excel ได้)
เปิดไฟล์ข้อมูลในโปรแกรมตารางคำนวณ
ทำความสะอาดข้อมูลเบื้องต้น (Data Cleaning):
ตรวจสอบความถูกต้อง: ให้นักเรียนตรวจสอบข้อมูลที่ได้ว่ามีข้อผิดพลาดหรือไม่ เช่น การพิมพ์ผิด, คำตอบที่นอกเหนือจากตัวเลือก
จัดการข้อมูลที่หายไป (Missing Data): อภิปรายว่าควรจัดการกับข้อมูลที่ผู้ตอบไม่ได้กรอกอย่างไร (เช่น ลบแถวนั้นทิ้งถ้ามีน้อย, หรือปล่อยไว้ถ้าไม่ส่งผลต่อการวิเคราะห์)
แปลงข้อมูล (ถ้าจำเป็น): เช่น ถ้าคำตอบเป็นข้อความ อาจต้องแปลงเป็นตัวเลขเพื่อการคำนวณ (เช่น "ชาย" เป็น 1, "หญิง" เป็น 0)
จัดรูปแบบข้อมูล: จัดให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่ง่ายต่อการวิเคราะห์ (เช่น แต่ละคอลัมน์คือหนึ่งคำถาม, แต่ละแถวคือหนึ่งผู้ตอบ)
ขั้นที่ 2: สรุปข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) (90 นาที)
ทบทวนสถิติเชิงพรรณนา:
ทบทวนแนวคิดค่าเฉลี่ย, มัธยฐาน, ฐานนิยม, ค่าสูงสุด, ต่ำสุด, และที่สำคัญคือ ร้อยละ (Percentage) และ ความถี่ (Frequency) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสรุปผลแบบสำรวจ
การคำนวณในโปรแกรมตารางคำนวณ:
ความถี่และร้อยละ: สาธิตการใช้ฟังก์ชัน COUNTIF หรือ COUNTIFS เพื่อนับความถี่ของแต่ละตัวเลือก และคำนวณร้อยละของคำตอบสำหรับคำถามปลายปิด
ตัวอย่าง: "นักเรียนส่วนใหญ่ (xx%) ใช้เวลาบนสื่อสังคมออนไลน์มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน"
ค่าเฉลี่ย/มัธยฐาน: สำหรับคำถามที่เป็นตัวเลข (เช่น อายุ, คะแนน) หรือคำถามแบบมาตราส่วน (Rating Scale)
การจัดกลุ่มข้อมูล: หากมีคำถามปลายเปิดที่สามารถจัดกลุ่มคำตอบได้ ให้นักเรียนลองอ่านและจัดกลุ่มความคิดเห็นที่คล้ายกัน
สร้างภาพข้อมูล (Data Visualization):
เลือกแผนภูมิที่เหมาะสม:
แผนภูมิแท่ง (Bar Chart): สำหรับเปรียบเทียบความถี่หรือร้อยละของตัวเลือกต่างๆ (เช่น สัดส่วนเพศ, แพลตฟอร์มที่ใช้บ่อยที่สุด)
แผนภูมิวงกลม (Pie Chart): สำหรับแสดงสัดส่วนของส่วนประกอบทั้งหมด (เช่น สัดส่วนของแหล่งที่มาของความเครียด)
แผนภูมิเส้น (Line Chart): หากข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา (ไม่น่าใช้มากในการสำรวจครั้งเดียว แต่เป็นความรู้เพิ่มเติม)
สร้างแผนภูมิ: ให้นักเรียนสร้างแผนภูมิจากข้อมูลที่สรุปได้ในโปรแกรมตารางคำนวณ
หลักการออกแบบแผนภูมิที่ดี:
ชื่อแผนภูมิ: ชัดเจนและเข้าใจง่าย
ป้ายกำกับแกน: ระบุหน่วยและสิ่งที่วัด
คำอธิบาย (Legend): ถ้ามีหลายชุดข้อมูล
ความเรียบง่าย: ไม่ใส่ข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
สีที่เหมาะสม: เลือกใช้สีที่อ่านง่ายและสื่อความหมาย
ขั้นที่ 3: ตีความข้อมูลและเตรียมการนำเสนอ (60 นาที)
ตีความผลลัพธ์:
แต่ละกลุ่มอภิปรายร่วมกันว่า "ข้อมูลที่ได้บอกอะไรเราบ้าง?"
ค้นหาข้อค้นพบที่สำคัญ (Key Findings) จากการวิเคราะห์เชิงพรรณนา เช่น
"อะไรคือสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในข้อมูล?"
"มีแนวโน้มอะไรที่น่าสนใจ?"
"มีอะไรที่แตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้หรือไม่?"
"มีปัญหาหรือโอกาสอะไรที่ข้อมูลชี้ให้เห็น?"
เชื่อมโยงผลลัพธ์กับวัตถุประสงค์ของการสำรวจที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก
จัดโครงสร้างการนำเสนอ:
แนะนำโครงสร้างการนำเสนอผลการสำรวจ:
สไลด์ที่ 1: ชื่อเรื่องและชื่อกลุ่ม
สไลด์ที่ 2: วัตถุประสงค์ของการสำรวจ: เราต้องการหาคำตอบอะไร
สไลด์ที่ 3: ระเบียบวิธีวิจัยเบื้องต้น: กลุ่มเป้าหมายคือใคร, จำนวนผู้ตอบ, เครื่องมือที่ใช้
สไลด์ที่ 4-X: ผลการสำรวจและข้อค้นพบที่สำคัญ: แสดงแผนภูมิพร้อมคำอธิบายและตีความผลลัพธ์
สไลด์สุดท้าย: สรุปและข้อเสนอแนะ: สรุปสิ่งที่ค้นพบโดยรวม และเสนอแนะแนวทางแก้ไขหรือข้อคิดเห็นที่ได้จากข้อมูล
ขั้นที่ 4: นำเสนอผลการสำรวจ (60-90 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนกลุ่ม)
การนำเสนอ:
แต่ละกลุ่มนำเสนอผลการสำรวจตามโครงสร้างที่เตรียมไว้
เน้นการอธิบายให้เข้าใจง่าย ไม่ใช่แค่อ่านตัวเลขจากแผนภูมิ
ฝึกการตอบคำถามที่อาจเกิดขึ้น
การอภิปรายและให้ข้อเสนอแนะ:
หลังจากแต่ละกลุ่มนำเสนอ ครูและเพื่อนร่วมชั้นสามารถตั้งคำถามและให้ข้อเสนอแนะ
เน้นการให้ข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับการนำเสนอ, การตีความข้อมูล, และข้อเสนอแนะที่ได้
ความสามารถในการใช้โปรแกรมตารางคำนวณ: การคำนวณสถิติพื้นฐานและการสร้างแผนภูมิ
คุณภาพของภาพข้อมูล: ความเหมาะสมของแผนภูมิ, ความชัดเจน, ความสวยงาม
การตีความข้อมูล: ความถูกต้องและเชิงลึกของการตีความผลลัพธ์
คุณภาพการนำเสนอ: ความชัดเจน, ความน่าสนใจ, การตอบคำถาม, การทำงานร่วมกันในกลุ่ม